ช่วงนี้หนิงอยู่ที่กรุงเทพฯ เพราะต้องมาเฝ้าคุณพ่อของ 9mot  ซึ่งไม่น่าเชื่อจริง ๆ นะคะ  ว่าคนเราเห็นปกติธรรมด๊า ธรรมดา  แต่ข้างในน่าเป็นห่วงมาก ๆ เพราะมันไม่สามารถเห็นได้จากภายนอกเลยค่ะ

หนิงเคยได้ยินคุณพ่อบ่นบ้างว่ารู้สึกเหนื่อย  จริง ๆ ก็ค่อนข้างเป็นห่วง  อยากให้ไปตรวจเช็ค  จะได้รู้ว่าเป็นอะไร  แต่คุณพ่อค่อนข้างมั่นใจในความแข็งแรงของตัวเอง  คิดว่าได้พักก็คงจะหายเอง  ดีนะที่น้องชาย (คุณอา) เป็นหมอก็เลยได้นัดให้ไปตรวจบ้าง  แรก ๆ ก็คิดว่าเป็นลิ้นหัวใจ  ก็เอายาไปทาน  อาการก็ยังคงมีบ้างเรื่อย ๆ นาน ๆ ครั้ง  โดยปกติคุณพ่อเป็นคนชอบร้องเพลง  ท่านร้องเพลงไพเราะมากเลยล่ะ  ยังกะนักร้องเชียวแหละ  แต่ช่วงหลังแค่เดินขึ้นเวลาก็เหนื่อยแล้ว  ทำให้ไม่สามารถร้องเพลงติดต่อได้หลายเพลง  อย่างมากก็ได้แค่ 2 เพลงแล้ว  เพราะเหนื่อยมาก 

โชคยังดีนะคะ  ที่เพื่อนของคุณแม่เป็นหมอทำ balloon หัวใจโดยเฉพาะ  วันนึงได้นัดเลี้ยงรุ่นกันที่ภูเก็ต  ท่านก็ไปร่วมงานด้วย  ทำให้ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณพ่อ  พอฟังอาการคุณหมอสรุปได้เลยค่ะว่า  น่าจะต้องมีเส้นเลือดตีบแน่นอน  ให้รีบขึ้นมาเช็คที่โรงพยาบาลทรวงอกด่วน  แต่ระหว่างที่เตรียมการเรื่องการส่งตัวจากโรงพยาบาลวชิระ  คุณหมอนราซึ่งเป็นน้องชายของคุณพ่อก็ได้นัดให้ไปเดินสายพาน  ซึ่งตอนนั้นก็พอจะทราบผลคร่าว ๆ แล้วว่ามีเส้นเลือดตีบแน่นอนแล้ว 2 เส้น  ก็เร่งรีบเตรียมตัวขึ้นกรุงเทพฯ กันเลย  เพราะนัดทางคุณหมอสุดารัตน์ไว้วันที่ 8 ส.ค.  ตอนบ่ายสองโมง

ก่อนเวลานัดเราไปทานข้าวเที่ยงกันที่โลตัส  ซึ่งอยู่เยื้อง ๆ กับโรงพยาบาลประมาณ 1 ป้ายรถเมย์  แต่ดูท่าทางคุณพ่อไม่น่าจะเดินไหว  ก็เลยเรียก Taxi มาที่โรงพยาบาล  พวกเรารอกันค่อนข้างนานเหมือนกันมีญาติบางคนเพิ่มมาสมทบบ้าง  ระหว่างที่รอคุณหมอก็ให้คุณพ่อไปตรวจคลื่นหัวใจเพิ่ม  และ X-ray ผลปรากฏว่า  มีหัวใจโตนิดหน่อย  คุณหมอก็ให้นอนที่โรงพยาบาลในคืนวันนั้นเลย  เพราะดูท่าทางน่าจะเอาการ  แล้วนัดฉีดสีวันจันทร์ที่ 11 ส.ค.  แต่เป็นหมออีกคนนึงฉีด  น่าตกใจว่านะคะ  เพราะหมอบอกว่า 

เส้นเลือดหลักที่เลี้ยงหัวใจมีอยู่ 3 เส้น  ของคุณพ่อตันสนิท 100% 2 เส้น  ส่วนอีกเส้นเหลืออีกเพียง 10%-20% เท่านั้น 

คุณหมอบอกกับพวกเราอีกว่า

แนวทางในการรักษา  คิดว่าไม่น่าจะใช้วิธีการทำ Balloon ได้  น่าจะต้องทำ Bypass ซึ่งต้องใช้วิธีการผ่าตัด

คุณพ่อซึ่งไม่ได้เตรียมใจมากับการผ่าตัดเลย  ก็น่าจะรู้ตัวเองมากขึ้นว่า  อาการของตนเองก็ไม่ใช่เล่น ๆ แล้วล่ะ  จากนั้นคุณพ่อก็เริ่มปรับตัวในการดูแลตัวเองมากขึ้น  เพราะขนาดอาหารที่ทางโรงพยาบาลให้ทานมีขนมหวาน  คุณพ่อก็ยังไม่ยอมทานเลย  ซึ่งปกติแล้วไม่ได้เป็นแบบนี้เลยล่ะ

พวกเราเลยมาตกลงกันว่า  เมื่อกลับไปภูเก็ต  เราจะปฏิวัติเรื่องอาหารการกินกันยกใหญ่  เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้  มันน่ากลัวเหลือเกิน  แม้ว่าเราอาจจะดูเหมือนกับปกติไม่ได้เจ็บป่วยเลยก็ตาม  แต่ถ้ามันมีปัญหาขึ้นมามันก็จะเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนไม่สามารถช่วยได้ทันเลยล่ะ

โชคดีนะคะ  ที่ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอที่มาเยี่ยมไข้  หรือคนไข้ด้วยกันเองที่บังเอิญเจอกันที่โรงพยาบาล  แม้แต่โทรทัศน์ที่บังเอิญอีกเช่นกันที่ได้ออกรายการเรื่องนี้พอดี  ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันไม่น่ากลัวเลยถ้ารู้แล้วว่าเป็น  แค่ให้รีบมาโรงพยาบาลแล้วเลือกวิธีการรักษา  เมื่อทำแล้วทุกรายบอกว่าดีขึ้นกว่าเก่าเยอะมาก ๆ ค่ะ  ทำให้คุณพ่อน่าจะคล้ายกังวลไปได้เยอะมาก  เพราะถ้าเป็นสิ่งใหม่ยังไม่ค่อยมีคนทำความเสี่ยงก็น่าจะเยอะจริงไห๊มค่ะ

ที่หนิงเล่ามาทั้งหมดนี้  ก็เพื่อสิ่งเดียวค่ะ  แค่อยากบอกว่า

เราต้องหันมาดูแลตัวเองกันให้มาก ๆ นะคะ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร  การออกกำลังกาย  ชีวิตความเป็นอยู่  การมองโลกในแง่ดี  เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นตัวการหลัก ๆ และสำคัญเลยล่ะที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคได้มากมาย  ไม่ใช่เฉพาะแค่โรคหัวใจเท่านั้นนะคะ

นี่แหละค่ะ  ที่หนิงบอกว่าไม่ได้ขู่  แต่ให้ระวัง  เพราะเวลาที่เราเป็นขึ้นมา  มักจะถามกันเกือบทุกรายแหละค่ะ  ว่าเป็นได้ยังไง