ทุกคนคงทราบกันแล้วว่าหนิงป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง ชนิดข้อต่ออักเสบ ซึ่งจะมีผลทำให้ ข้อต่อต่างๆ บวมขึ้นมาเองโดยไร้เหตุผล ส่วนใหญ่มักจะเป็นทีละข้าง และจะมีอาการปวดหลังด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วโรคนี้มีอยู่สองประเภท ประเภทนึงจะออกอาการอักเสบที่บริเวณข้อต่อระยาง ส่วนใหญ่จะเป็นที่บริเวณขามากกว่า อีกประเภทนึงจะทำลายกระดูกสันหลัง ซึ่งประเภทนี้จะรุนแรงกว่าประเภทแรกการรักษาจะยากกว่า หนิงโลภมากค่ะ เป็นทั้งสองชนิดเลย 5555 เพราะฉะนั้นการรักษาจะต้องดูที่ตัวกระดูกสันหลังเป็นหลักเพราะรักษายากกว่า ซึ่งยาที่ใช้ ถ้าขั้นแรกเอาไม่อยู่ก็จะขยับไปขั้นตอนสุดท้ายเลย คือ เป็นสารชีวภาพ ราคาแพงมากกกกก ขนาดหมอบอกว่าแพงมาก ตอนแรกก็ยังคิดว่าน่าจะไหว แต่พอหมอบอกราคายามาจริงๆ ถึงกับอึ้งเลย เพราะค่าใช้จ่ายเดือนละห้าหมื่นกว่าบาทเลยทีเดียว

ครูโยคะ, โรคแพ้ภูมิตัวเอง, โยคะภูเก็ต, โยคะเขารัง, ข้อต่ออักเสบ, ออกกำลังกาย, สอนโยคะ

ครูโยคะ, โรคแพ้ภูมิตัวเอง, โยคะภูเก็ต, โยคะเขารัง, ข้อต่ออักเสบ, ออกกำลังกาย, สอนโยคะ

นี่คือสาเหตุว่าทำไมหนิงรักษาไปทุกศาสตร์เลย เพราะไม่อยากกินยาไงค่ะ คือ ถ้ารับยาไปแล้วมันจะมีผลกับตับและไต นอกเหนือจากนั้นเกรงว่าถ้าใช้ยาแล้วมันต้องใช้ยาตัวที่หนักขึ้น เราเองก็รับกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นไม่ไหวเหมือนกัน ทำให้ช่วงหลังๆ หนิงไปพบกับหมอแพทย์ไทยควบคู่ แต่ผลมันก็ยังบอกไม่ได้ว่าอาการเราดีขึ้นหรือเปล่า เนื่องจากอาการที่เราเป็นมันจะเป็นเฉพาะเวลาที่เรากินอาหารที่ไม่สะอาด แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะแสดงอะไรออกตอนไหนบ้าง รู้แค่ว่าช่วงนี้มันก็เริ่มมีอาการแปลกๆ มาเรื่อยๆ เมื่อก่อนรู้เฉพาะตอนข้ออักเสบ ณ ปัจจุบัน หนิงจะรู้สึกชาหรือบวมที่ขาเกือบตลอดเวลา แต่อันนี้เป็นทั้งสองข้างเลย เวลานั่งนานๆ อาจจะรู้สึกปวดที่กระดูกรองนั่งบ้าง รู้สึกปวดในเส้นที่ขาจนขาเกือบไม่มีแรงบ้าง แต่อาการเหล่านี้มันก็ไม่ได้อยู่กับเรานานนะคะ พอขยับๆ มันก็หายไปเหมือนจะทำให้เราตายใจ

หลังจากที่ได้ไปพูดคุยกับคุณหมอแพทย์แผนไทย ทำให้ได้มุมมองอะไรที่เปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองเกี่ยวกับการออกกำลังกายเพิ่มมากขึ้นอีกค่ะ ปกติใครๆ ก็มักจะคิดว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี และเหงื่อยิ่งออกเยอะยิ่งดีเพราะเป็นหนทางในการขับพิษออกจากร่างกายอีกทาง แต่พอมาเจอแพทย์แผนไทยทำให้เราต้องกลับมุมมองใหม่ เพราะร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากร่างกายบางคนที่ร้อน คือ มีธาตุไฟเยอะ คนนั้นก็ไม่ควรออกกำลังกายมากหรือออกกำลังกายหนัก เพราะมันจะทำให้ความร้อนในร่างกายเกิดขึ้น มันจะส่งผลเสียกับระบบโดยรวมของร่างกายได้ ดังนั้นเราต้องหาความสมดุลนั้นให้เจอว่าออกกำลังแค่ไหนถึงจะเหมาะกับเรา

บางคนอาจจะคิดว่าออกกำลังกายไม่มีผลเสีย ออกมากก็ยิ่งดี บางทีเราอาจจะต้องให้ถึงวัยนึงถึงจะรู้ถึงผลของการที่เราใช้ร่างกายเรามากเกินไป ถึงตอนนั้นเราอาจจะสูญเสียอะไรไปบางอย่างที่เราไม่สามารถดึงมันกลับมาแล้วก็ได้นะคะ

หนิงยังเชื่อเรื่องของสมดุล เพราะหากสมดุลดีทุกๆ อย่างมันก็จะดีตาม พยายามที่จะสร้างสมดุลชีวิตทั้งการใช้ชีวิต การทำงาน ชีวิตครอบครัว การดูแลสุขภาพ การพักผ่อน ให้มันพอดี พอเหมาะ ก็เหมือนกับร่างกายเราที่ตอนนี้หนิงก็พยายามทำทุกอย่างให้ร่างกายเข้าสู่สมดุล สำหรับหนิงตอนนี้มันยากไปแล้วเพราะร่างกายมันเสียสมดุลไปเยอะมากกับโรคที่เราเป็นด้วย และจากก่อนหน้านี้ที่หนิงอาจจะใช้ร่างกายตัวเองกับการออกกำลังกายมากเกินไป เมื่อก่อนคลั่งไคล้กับการฝึกโยคะมาก มีอยู่บางช่วงที่หนิงใช้เวลาในการฝึกต่อครั้งเกือบสองชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งจริงๆ แล้วการฝึกต่อครั้งควรใช้เวลาเพียงแค่ 30-90 นาทีเท่านั้น ทำไงได้ทำไปแล้ว ประตูโดเรมอนถ้ามีจริงก็ดีสินะ อิอิ

จากสิ่งที่หนิงเล่าพา แค่อยากให้เรากลับไปมองจุดเริ่มต้นของการออกกำลังกายดีๆ นะคะทุกๆ คน ส่วนใหญ่เรามักจะมองว่าเราออกกำลังกายก็เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะผู้ที่ฝึกโยคะมักจะบอกกับใครต่อใครว่าเราฝึกกายฝึกใจ แต่แท้ที่จริงแล้ว เรากำลังสนองอะไรให้ตัวเองอยู่เจ้าตัวเท่านั้นรู้ดีที่สุด อ่านบทความนี้แล้ว ลองทบทวนกับตัวเองดูนะคะ ยิ่งปัจจุบันนี้เทรนด์การออกกำลังกายมาแรงมากค่ะ ใครๆ ก็ต้องเข้ายิม วิ่ง โยคะ เวลาที่ออกกำลังกายก็พยายามบอกใครต่อใครผ่านเฟส (ที่บอกไปคือตัวเองก็เป็นนะคะเลยบอกได้ 555555) แล้วไงละก็ภูมิใจกับตัวเองนี่นาเราทำได้ เราแข็งแรง เราอดทน เราพยายาม ทุกอย่าง อิอิ วันนี้หนิงทำได้แค่บอกสิ่งที่รู้มาผ่านบทความนี้ คนอ่านเป็นผู้เลือกว่าเราเลือกจะทำอย่างไรกับร่างกายเรา หนิงเคยเปรียบร่างกายเป็นรถ ว่าเราจะดูแลรถต่างหาก หากเราเป็นของเราเองเราก็ดูแลอีกแบบ ถ้าเป็นรถเช่าก็ดูแลอีกแบบจริงมั้ยค่ะ

ถึงตอนนี้ทำได้แค่ ทำวันนี้ให้ดี ให้มีความสุข ยังคงต้องดูแลตัวเองต่อไปเพื่อตัวเราเอง เพื่อไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนรอบข้าง คนในครอบครัว…