ขอท้าวความไปเมื่อหลายปีก่อนโน้น  หนิงเคยได้ยินโฆษณาเกี่ยวกับ AHA เยอะแยะมากมาย  ทำให้อยากลองบ้าง  ก็ตัดสินใจไปใช้บริการที่คลีนิคชื่อดังแห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต  (ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อนะคะ  เกรงใจเขา  เดี๋ยวเขาจะทำธุรกิจไม่ได้ค่ะ)

หนิงไปใช้บริการตามที่คุณหมอนัดทุกครั้ง  เพราะเราตั้งใจจริง  ใช้เวลาหลายเดือน  ก็หมดไปหลายตังค์เหมือนกันค่ะ

แรก ๆ ที่ไปหมอให้ใช้ AHA ความเข้มข้นไม่สูงนัก  แต่ก็รู้สึกคัน ๆ นิด ๆ ที่หน้า  ตอนที่เขาทาทิ้งไว้  แต่ก็รู้สึกว่าหน้าตัวเองดูขาวใสขึ้นนะคะในช่วงนั้น

แต่หลังจากที่ใช้บริการเป็นประจำอยู่หลายเดือน  ความเข้มข้นของ AHA ก็ถูกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเวลาเอามาทาหน้า  เรารู้สึกแสบหน้ามาก ๆ ในช่วงนั้นเรารู้สึกว่าหน้าตัวเองจากที่เป็นคนหน้าแห้ง  หน้ากลับมันมาก  และก็แดงง่าย  เจอแดดนิดนึงก็แดงแล้ว 

พอได้มาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของผิวหน้าที่กรุงเทพฯ ได้ตรวจสภาพผิวหน้าตัวเอง  แทบ ช็อกค่ะ 😯

เพราะผลที่ออกมาคือ  หน้าเราแทบจะไม่มีเส้นใยตาข่ายเหลืออยู่เลย  ในขณะที่ใต้ท้องแขนสมบูรณ์ดีมาก  นั่นแหละค่ะ  คือสาเหตุ  เพราะเจ้า AHA เป็นกรด  การที่เราใช้ทุกวัน ๆ และไปทำกับที่คลีนิคอาทิตย์ละครั้ง ก็คล้าย ๆ กับการลอกหน้าไงค่ะ  เมื่อชั้นผิวถูกทำลายไป  ความสมดุลของผิวก็เลยเสียไป  ทำให้การควบคุมความมันบนใบหน้าไม่สามารถที่จะควบคุมได้ หน้าก็เลยมันง่าย  และหน้าเราเมื่อถูกลอกไปมันก็จะบางลง  ทำให้เวลาโดนแดดหน้าก็เกิดอาการแดงง่าย

ยังโชคดีนะคะ  ที่รู้ตัวก่อน  เลยกลับลำได้ทัน  หลังจากนั้นก็เลิกใช้  แล้วมาดูแลตัวเองใหม่  โดยวิธีที่ไม่ใช้สารเคมีอีกเลย  เพราะประสบการณ์ครั้งนั้นสอนหนิงอย่างมาก  ไม่งั้นหน้าคงพังไปแล้ว  เพราะเท่าที่ศึกษามา  หากหน้าเรามีอาการแดงง่ายยังงั้น  มันเป็นอาการเบื้องต้นที่จะบ่งบอกว่า  เรามีโอกาสเป็นฝ้าได้ง่าย  ที่นี้ถ้าเราเป็นแค่ฝ้าแดดก็ยังพอทน  เพราะยังพอทำให้จางได้  แต่สำหรับคนที่ชั้นผิวถูกทำลายขนาดนั้น  อาจจะทำให้เกิดฝ้าในชั้นลึก  ซึ่งเขาจะเรียกกันว่า “ฝ้าเคมี”  เราจะไม่สามารถจัดการใด ๆ กับฝ้าอันนี้ได้อีก  เลยถือว่ายังโชคดีไงค่ะ  อิอิ 😉