ก่อนหน้านี้ หนิงมีอาการอักเสบที่ข้อต่อมาเรื่อย ๆ ตลอด ๆ แต่ก็คิดว่าเป็นอาการอักเสบทั่ว ๆ ไปจากการใช้งาน หรือจากข้อต่อเดิมที่เคยเสื่อม เพราะเคยไปหาหมอแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากให้ยาแก้อักเสบกลับมาทาน ทานสักสามสี่วันก็หายเป็นปกติ

DSC_1141

แต่ช่วงปีนี้ อาการชัดเจนขึ้นมาก พอดีช่วงหลังมาเวลาที่เกิดอาการมักจะโทรไปหาเพื่อนที่เป็นหมอด้านกระดูกเกือบทุกครั้งที่เกิดอาการ ช่วงแรก ๆ ก็เหมือนเดิมคือ ก็ต้องว่าไปด้วยยาแก้อักเสบเช่นกัน จนกระทั่งเมื่อประมาณเดือนมีนาคมของปีนี้ หนิงสนใจที่จะทำเลสิคเพื่อก็เบื่อกับการใส่แว่นตาบ้างเวลาที่เที่ยวทะเล แต่แล้วหมอก็ตรวจพบว่า ในตามีเม็ดเลือดขาวกระจายอยู่ ซึ่งปกติไม่ควรจะมี หมอเลยขอนัดตรวจซ้ำ และตอนนั้นหมอก็บอกว่ามา

“การที่มีเม็ดเลือดขาวในตากระจายแบบนี้ อาจจะมีความเสี่ยงต้องการเป็นโรคเกี่ยวกับข้อต่ออักเสบ หรือรูมาตอยด์นะคะ”

ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพราะก็ยังไม่มีสัญญาณอะไรเลย จนกระทั่งข้อเท้าอักเสบอีกและต้องเดินทางไปต่างจังหวัด เลยโทรไปหาเพื่อนที่เป็นหมอกระดูกอีก เพื่อนเลยบอกว่า

“แกน่าจะไปหาหมอที่ตรวจเกี่ยวกับโรคกระดูกอักเสบ SLE พวกรูมาตอยด์ดูนะ ไปเช็คเลือดดู”

เลยโทรไปปรึกษากับลูกศิษย์ที่เป็น SLE เขาแนะนำให้ไปหาคุณหมอสมยศ เห็นว่าเก่งชนิดที่ทาง มอ. ยังบอกว่ามาหาคุณหมอท่านนี้เหอะถ้าอยู่ที่ภูเก็ต ตัดสินใจไปครั้งแรก หมอสั่งเช็คเลือดน่าจะหลายรายการทีเดียว พร้อมกันนั้น คุณหมอสั่งอย่าเน้นย้ำว่า ช่วงนี้ห้ามทานส้มตำเด็ดขาด ให้ทานอาหารที่ผ่านความร้อนเท่านั้น จากนั้นรอผลประมาณอาทิตย์นึง ก็สั่งไปให้เพื่อนที่เป็นหมอกระดูกคนที่แนะนำ และให้เพื่อนที่เป็นหมอกายภาพอีกคน ปรากฎว่าดูผลเลือดแล้วก็ไม่มีไร

แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น วันอาทิตย์ที่ 6 พ.ย. หนิงอยากกินส้มตำมาก เลยชวนสามีไปทาน ปรากฎว่าได้เรื่องเลย วันจันทร์มาหนิงรู้สึกไม่ค่อยปกติที่ข้อเท้าเท่าไหร่ เหมือนมีอาการอักเสบเช่นเคย ตอนนั้นก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรมาก เพราะอาการแค่เริ่ม ๆ จากนั้นก็พยายามบริหารข้อเท้าตามระเบียบ แต่ทำไมยิ่งบริหารยิ่งมีอาการหว่า พอวันอังคารอาการเริ่มแย่ลง เลยตัดสินใจไปพบหมออีกครั้ง

หมอดูอาการแล้ว บอกว่า โรคที่คุณเป็นไม่ใช่ SLE ไม่ใช่รูมาตอยด์นะ แต่เป็นภูมิแพ้ตัวเองชนิดนึงเรียกว่า Spondyloarthritis ชนิด Unclassified ซึ่งถ้าเป็นภาษาไทย เขาเรียกกันว่า “โรคข้อต่ออักเสบ” นั่นเอง วันนั้นเลยถามคุณหมอไปหลายอย่างที่สงส้ยคือ ทำไมคุณหมอไม่ให้กินส้มตำละคะ เพราะจริง ๆ คืออยู่ในเมนูโปรดเลยไม่ให้กินแล้วจะทำไงเนี่ย เวลาเพื่อน ๆ นัดกันไปเราจะทำไงจะได้รู้ก่อน คุณหมอให้คำตอบมาว่า

“จริง ๆ แล้ว ไม่ให้ไม่ให้ทานส้มตำนะ แต่ส่วนใหญ่แล้วเราไปทานส้มตำตามร้าน และที่ร้านส่วนใหญ่ทำไม่ค่อยสะอาด เขาไม่ล้างครกให้คุณ เขาตำทุกอย่างในครกเดียวกัน แต่ถ้าคุณสามารถเลือกร้านที่สะอาด หรือคุณสามารถตำเองได้ คุณก็ทานส้มตำได้ตามปกติครับ”

ชัดเจนค่ะ นั่นคือ แค่ต้องทานอาหารสะอาดเท่านั้น เพราะแม้กระทั่งผักสดก็ควรจะต้องทำเอง เพื่อความมั่นใจว่าเราล้างผักได้สะอาดจริง ๆ เพราะเชื้อโรคที่เข้าไปในร่างกายจะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดอาการได้ หมอบอกว่า ให้พยายามดูแลตัวเองดี ๆ เพราะเท่าที่ดูความถี่ และระยะเวลาที่เป็น ถือว่ายังไม่หนัก ถ้าเราเป็นไม่บ่อยก็กินยาแก้อักเสบไปอย่างเดียว เพราะถ้ากินยากด มันจะไปมีผลกับตับ และไต ซึ่งอาจจะต้องคุยกันยาว

พอมาศึกษาเกี่ยวกับโรคที่ตัวเองเป็นแล้ว ทำให้เข้าใจเลยว่า ร่างกายเราอาจจะฟ้องมาสักระยะแล้ว แต่ด้วยการฝึกโยคะของเราที่สม่ำเสมอทำให้อาการไม่แสดงออก (คือยังคุมโรคได้) แต่พอตัวเราเองไม่ค่อยมีวินัยในการฝึกที่เพียงพอ เลยทำให้ร่างกายส่งผลกับอาการที่เกิดชัดเจน

มองมุมบวกก็คือ ดีนะ ที่เรารู้ก่อนว่าเราเป็นอะไร เราจะได้ป้องกันตัวเอง และอยู่กับโรคที่ต้องอยู่กันไปตลอดชีวิตยังไงในเมื่อมันรักษาไม่ได้

และสิ่งที่สรุปได้จากการรู้ผลครั้งนี้คือ

“โยคะ ดีจริง ๆ นะ โดยเฉพาะกับโรคนี้ ไม่งั้นเราอาจจะแย่กว่านี้แล้วก็ได้”

ครั้งหน้าจะมาเล่าเกี่ยวกับโรคนี้ให้ทราบกันนะคะว่าเป็นยังไง…