วันนี้ขอมาเล่าชีวประวัติตัวเองใหม่ เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นนานแล้ว แต่เราเพิ่งรู้ตัว…และเผื่อเป็นวิทยาทานให้กับคนอื่นๆ ได้กระตุ้นเรื่องการสังเกตตัวเองให้มากๆ นะคะ
ตอนนี้หนิงเป็นโรคร้ายค่ะ 5555
อย่าเพิ่งตกใจค่ะ แค่เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองชนิดข้อต่ออักเสบ เพิ่งทราบสักปีกว่าๆ แต่จริงๆ หนิงเป็นโรคนี้มานานแล้วน่าจะเกิน 12 ปีแน่ๆ ค่ะ แต่เพิ่งไปพบหมอ…

โยคะภูเก็ต, ครูโยคะ, โรคแพ้ภูมิตัวเอง, Spondyloarthritis, SPA, Spondy, โรคประจำตัว, โยคะภูเก็ต
จากก่อนหน้านี้ ที่หนิงเคยเล่าประวัติไว้ว่า เวลาตื่นนอนตอนเช้าแล้วจะปวดหลังสัก 2-3 ชั่วโมง แล้วมันจะหายไปเอง อีกอย่างคืออาการปวดเข่าเวลานั่งนานๆ เช่นไปดูหนัง ได้แค่ครึ่งเรื่องเท่านั้นแหละ ไม่สามารถขยับขาได้เลย ปวดมากจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว แต่หนิงก็คิดว่าตัวเองเข่าเสื่อมจากการเล่นแบต ซึ่งทั้งหมดนี้คือ อาการของโรคที่หนิงเป็นทั้งนั้นเลยค่ะ แต่เชื่อมั้ยค่ะอาการเหล่านี้หายหมดเลยหลังจากที่หนิงฝึกโยคะอย่างจริงจัง…
ทำไมถึงรู้ว่าเป็นโรคนี้?
เมื่อประมาณต้นปี 59 หนิงอยากทำเลสิค เลยไปเช็คตาเพื่อเตรียมความพร้อมว่าเราจะสามารถทำได้หรือไม่ คุณหมอพบว่าหนิงมีเม็ดเลือดขาวกระจายในตาเยอะ ซึ่งมักจะพบในกลุ่มคนที่เป็นโรครูมาตอย SLE หรือโรคข้อต่ออักเสบ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรยังกล้าตอบหมอไม่ว่าไม่ได้เป็นค่ะ อิอิ และประกอบกับช่วงนั้น หนิงมีปัญหาข้อต่ออักเสบบ่อย เป็นที่หัวเข่าบ้าง ข้อเท้าบ้าง เอ็นร้อยหวายบ้าง โดยที่ไม่ค่อยมีสาเหตุของการอักเสบ โชคดีที่มีเพื่อนเป็นหมอเกี่ยวกับกระดูกและข้อต่อ ก็โทรไปปรึกษาทุกครั้งที่มีอาการ จนเพื่อนเริ่มสงสัย และแนะนำให้หนิงไปตรวจโรคข้อต่ออักเสบดู เพราะเริ่มเป็นถี่ขึ้นและทุกครั้งที่เป็นไม่มีสาเหตุที่จะทำให้อักเสบได้เลย จึงตัดสินใจไปตรวจกับหมอเฉพาะทาง และในที่สุด คุณหมอก็ยืนยันว่าเราเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองชนิดข้อต่ออักเสบจริงๆ Spondyloarthritis (SPA)
โรคนี้เป็นแล้วโอกาสหายเท่าที่รู้ไม่น่าจะมี มันเป็นโรคประจำตัวเราไปละ แต่เอาน่าเมื่อรู้ว่าเป็น ศึกษากันและกันไปก็แล้วกันค่ะ รู้เขารู้เราอยู่กันแบบอย่าเบียดเบียนกันให้มากไปก็แล้วกันเน้อ อิอิ หนิงมีโอกาสได้ปรึกษากับคุณหมอเฉพาะเกี่ยวกับโรคที่เป็น 2 ท่านแนะนำมาเหมือนกันค่ะ คือ เราต้องเป็นคนอยู่ไม่นิ่ง จริงๆ ถนัดนัก 55555 แต่ต้องขยับทุกส่วน ดังนั้น มาถูกทางในระดับนึงละ คือ การฝึกโยคะ แต่ก็ไม่ควรหักโหมมากเกินไป ต้องหาความพอดีให้ตัวเอง คุณหมอยังเอ่ยปากออกมาเลยนะคะว่าโชคดีที่หนิงฝึกโยคะ เพราะจริงๆ การที่เราเป็นโรคนี้มาเป็นสิบปีอาการน่าจะแย่กว่านี้เยอะค่ะ แต่เรายังรักษาระดับอาการไว้ได้ ยังก้มได้ บิดตัวได้
ดังนั้น “ต้องฝึกโยคะตลอดชีวิตเลยนะครับ”
คุณหมอทั้งสองกล่าวไว้ อันนี้ตั้งใจไว้อยู่แล้วค่ะคุณหมอไม่ใช่ปัญหาสำหรับหนิงเลย
ทุกวันนี้ หนิงขอคุณหมอไม่รับยารักษาโรค เพราะทราบมาว่า ยาที่รักษาโรคนี้มันจะมีผลกับตับและไตของเรา แต่ตอนนี้ก็ลุ้นนะคะ เพราะวันที่ 19 ก.พ. นี้ คุณหมอนัดตรวจตับกับไต ไม่แน่ใจว่าเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อรับยาหรือเปล่า ไว้จะมา update ให้ทราบในภายหลังนะคะ ตอนนี้หนิงพยายามหาหมอทุกด้านที่หนิงเชื่อว่าจะเกี่ยวข้องกับโรคและพอจะบรรเทาอาการหนิงได้
หนิงเลือกที่จะปรึกษากับ
– หมอกายภาพ
– หมอกระดูก
– หมอแพทย์ไทย
– หมอเฉพาะโรคที่หนิงเป็นอยู่
และพยายามปฏิบัติตาม ถึงแม้ว่าไม่ได้เคร่งครัดนัก แต่ก็ต้องใช้ความพยายาม สิ่งที่คุณหมอแนะนำไม่ได้ยากเลย แค่กินอาหารสุกและสะอาด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน และขยับตัวบ่อยๆ ถ้าจะลำบากสุดก็เรื่องอาหารนี่แหละค่ะ เพราะบางทีเราก็อยากไปกินกับเพื่อนฝูง กับญาติบ้าง ซึ่งของโปรดของหนิงก็จะอยู่ในของต้องห้ามซะด้วย ไม่ว่าจะเป็นส้มตำและขนมจีน ที่ห้ามเพราะมีอัตราเสี่ยงเรื่องความสะอาดค่ะ ตอนนี้เลยจะเยอะเรื่องร้านที่ไปกินหน่อย เพราะต้องมั่นใจว่าสะอาดจริงๆ แต่ก็ยังกินขนมจีนบ้างเพราะของโปรดเลยค่ะ อยากดูแลตัวเองแบบที่เรายังต้องมีความสุข ไม่ใช่เครียดจนทำอะไรไม่ได้เลย…อิอิ มันไม่ใช่ข้ออ้างใช่มั้ยค่ะ 555555
หนิงโชคดีอยู่อย่างคือ หนิงว่าหนิงไม่ได้เครียดกับโรคที่เป็นนัก ทั้งๆ ที่รู้นะคะว่าโรคนี้ท้ายที่สุดแล้วมันก็ส่งผลรุนแรงกับเราพอสมควรค่ะ แต่ไม่อยากเอาผลสุดท้ายมาทำให้เราเครียดจนเราอาจจะมีโรคอื่นๆ ตามมาก่อนที่จะถึงอาการสุดท้ายของโรคนี้ก็ได้ และก็เป็นช่วงคนรอบข้างเราอีก ต้องมานั่งกังวลกับเรา เครียดกับเรา สู้เราทำใจให้ได้ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามดูแลตัวเองดี ๆ เพราะเรานี่แหละดูแลตัวเองได้ดีกว่าหมออีก 55555 ช่างกล้า แต่หนิงคิดแบบนี้จริงๆ นะคะ
อยากให้กำลังใจทุกคนที่ไม่สบาย ไม่ใช่แค่ไม่สบายกายนะคะ รวมถึงไม่สบายใจดี อย่าไปจมอยู่กับมัน ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่พ้นค่ะ อยู่ที่ว่าจะเจออะไร รูปแบบไหนเท่านั้น ไม่ต้องปลงนะคะ แต่เรียนรู้ที่จะยอมรับ แล้วทำความเข้าใจกับสิ่งที่เป็น และพยายามปรับความคิดตัวเอง ทำให้เรามีความสุขดีกว่าค่ะ เผลอๆ เราอาจจะมีความสุข และร่างกายอื่นๆ ที่เป็นผลรวมของเราอาจจะดีกว่าคนที่เหมือนจะดูปกติทั่วไปก็ได้นะคะ
ตอนแรกก็กล้าๆ กลัวๆ กับการที่จะเขียนเล่าเรื่องนี้ เพราะทุกอย่างมีสองด้านเสมอ ใจนึงกลัวว่าเขียนไปแล้ว นักเรียนโยคะของหนิงยังมั่นใจที่จะฝึกกับเราต่อมั้ย รวมถึงคนใหม่ที่จะเข้ามาเรียนด้วยหากรู้ว่าเราไม่สบาย มีโรคประจำตัวเขาจะเข้ามาสมัครเรียนมั้ย ซึ่งมันมีผลมากกับการหาเลี้ยงชีพของหนิงเลย แต่วันนึงหนิงได้ไปเจอกับรุ่นพี่ที่น่ารักคนนึง ได้คุยกันแล้วพี่เขาบอกว่าหนิงช่วยเขียนเรื่องนี้ให้เป็นวิทยาทานกับคนอื่นๆ ที่เป็นโรคหน่อยได้มั้ย พี่ว่ามันเป็นประโยชน์นะ ทำให้หนิงปรับมุมมองตัวเองไม่ได้มองแค่ด้านแคบๆ ที่จะกระทบกับอาชีพเรา แต่ถ้าสิ่งที่เราเขียนสามารถให้กำลังใจ ให้แนวปฏิบัติกับคนอื่นๆ ได้ หนิงก็ยินดีนะคะ
บอกตรงนี้เลยว่า ไม่ต้องการความเห็นใจ ความสงสารนะคะ แต่ขอให้มั่นใจและไว้ใจว่า
“หนิงยังคงสอนโยคะได้เหมือนเดิมค่ะ”
และขอสัญญาเลยว่า ยิ่งตัวเราเองรับรู้ถึงโรคที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว
“หนิงจะใส่ใจกับวิชาที่เรียน กับความรู้ต่างๆ ให้มันมากขึ้น ทำความเข้าใจกับร่างกายผู้ฝึกให้มากขึ้น และจะยังคงสอนโยคะต่อไป เพราะโยคะช่วยให้หนิงรักษาตัวเองจากโรคนี้มาในเบื้องต้นเป็นอย่างดี”
ขอบคุณครูโยคะทุกท่านที่ช่วยประสิทธิประศาตร์วิชาให้ จนถึงสามารถนำมาช่วยเหลือตัวเองได้
ขอบคุณคุณหมอทุกท่านที่ช่วยให้ความรู้ และบอกวิธีดูแลตัวเอง รวมถึงแจ้งแนวทางการรักษาและทำการรักษาให้ โดยเฉพาะคุณหมอเฉพาะโรค ที่ไม่บังคับให้หนิงใช้ยาในการรักษา
ขอบคุณครอบครัวที่เข้าใจ ไม่ทำให้หนิงรู้สึกว่าหนิงเป็นคนป่วย
ขอบคุณนักเรียนโยคะที่ยังไว้ใจ และเรียนกับหนิง ทั้งๆ ที่บางคนก็รู้ว่าหนิงป่วยแล้ว
ป่วยกาย อย่าให้ป่วยใจ
Recent Comments