หกปีกว่ากับการฝึก Asthanga Yoga  หนิงยอมรับนะคะว่า “โยคะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตหนิง” ไปแล้ว

โชว์

หนิงได้ประสบการณ์  ได้ข้อคิดต่าง ๆ มากมายจากทั้งการเรียนรู้จากครูผู้สอน  กับหนังสือที่อ่าน  รวมไปถึง online ต่าง ๆ  สิ่งที่หนิงได้สัมผัสทำให้เราได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิด  และเปิดมุมมองของตัวเอง  จนกระทั่งวันนึง  หนิงคิดที่เริ่มเป็นผู้ถ่ายทอดการฝึกโยคะอย่างจริงจัง  เพราะคิดว่าโยคะเป็นอะไรที่ทำให้เราดีขึ้นหลาย ๆ อย่างเลยอยากให้คนอื่น ๆ มีโอกาสได้ลองฝึก  ได้มีโอกาสสัมผัสบ้าง  เผื่อว่าจะได้เจออะไรดี ๆ จากโยคะแบบหนิง  อิอิ  และหนิงก็ได้เห็นอะไรจากการเป็นผู้ถ่ายทอดอีกมากมาย

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา  ถึงแม้ว่าไม่ได้มากมายอะไร  แต่จากการที่เราเองก็เป็นคนช่างคิด  และช่างพูดด้วยมั่ง  อิอิ  เลยทำให้เราหาจุดยืน  และจุดสมดุลให้กับตัวเอง  เพราะครูหลาย ๆ คนก็จะมีแนวทางเดินในแบบวิถีโยคะเลย  ไม่ว่าจะเป็นวิถีการกิน  การเป็นอยู่  รวมไปถึงการฝึก  ซึ่งหนิงมองว่าหากเราสามารถปฏิบัติแบบนั้นได้น่าจะเป็นสิ่งที่ดี  แต่เงื่อนไขของแต่ละคนก็แตกต่างกัน  ไม่ว่าจะเป็นชีวิตครอบครัว  สังคมที่เรายังต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ  ดังนั้นเราต้องหาวิถีของเรา(s)ด้วย  ด้วยความที่เราเองอาจจะเป็นคนค่อนข้างง่าย ๆ สบาย ๆ เลยไม่ค่อยคิดไรมากมาย ใช้ชีวิตง่าย ๆ อยู่ง่าย ๆ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่เบียดเบียนใคร และอยู่อย่างมีความสุขน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตนี้  ดังนั้น หนิงขอสรุปรูปแบบตัวเองง่าย ๆ ตามวิถีของหนิง คือ

  • วิถีการกิน ปกติชอบทานผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์พยายามเลี่ยง โดยเฉพาะหมู กับไก่ ส่วนปลาหมีกไม่ค่อยชอบอยู่แล้วโชคดีไป กุ้งเมื่อก่อนไม่ทานแต่ปัจจุบันทานมากขึ้น ถ้าเป็นปลาวิ่งเข้าหาเลย 5555 ดังนั้นหากได้เวลาทานอาหาร ถ้าทานคนเดียวก็จะพยายามเลือกผักเป็นหลัก แต่เวลาไปทานเป็นกลุ่มก็ไม่ค่อยเลือก ทานไปหมดทานอะไรมากทานอะไรน้อยค่อยว่ากัน อิอิ จริง ๆ ก็อยากหาร้านอาหารสุขภาพทาน แต่ทำไงได้ หากเจ้าของร้านที่ขายอาหารสุขภาพยังไม่เข้าใจเลยว่าอาหารสุขภาพเป็นอย่างไร เขาก็ยังคงผลิตอาหารที่คิดว่าเป็นอาหารสุขภาพ และบอกคนอื่น ๆ ว่าเป็นอาหารสุขภาพออกมา ได้ใช่เขาหลอกลวงนะคะ แต่เพราะเขาเองก็ยังไม่เข้าใจต่างหาก คริคริ ส่วนเรื่องชา-กาแฟ ก็ยังคงดื่มอยู่ แต่พยายามเลี่ยงนมข้นหวานกับน้ำตาล จากเมื่อก่อนก็ทานตามร้านเรื่อยเปื่อย แต่ปัจจุบันพยายามเลือกร้านที่มีเครื่องทำกาแฟสด โดยพยายามดื่มเป็นกาแฟร้อนเพราะจะไม่ใส่นมข้นหวานแน่ ๆ และพยายามไม่เติมน้ำตาลด้วย ส่วนชาเย็นก็ดื่มบ้างค่ะ อาทิตย์ละไม่เกิน 3 แก้ว (มากไปป่าวเนี่ย บอกที่มากสุดแล้วนะจ๊ะ)
  • วิถีการนอน หนิงเองก็เป็นคนที่นอนถือว่าดึกไปหน่อยสำหรับผู้ดูแลสุขภาพ เพราะจริง ๆ แล้วควรนอนตั้งแต่ 3 ทุ่ม แต่ทำไงได้ค่ะ หนิงสอนเสร็จก็สองทุ่มกว่าจะถึงบ้านก็สองทุ่มกว่า ยังมาทานอาหารค่ำต่ออีก (คริคริ อันนี้ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะคะ) ทำให้ต้องนอนประมาณห้าทุ่มถืงห้าทุ่มครึ่งเลยทีเดียว แต่ยังไงทุกวันก็นอนไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมงนะคะ เพราะหนิงจะตื่นประมาณหกโมงถึงหกโมงครึ่งค่ะ
  • การฝึกโยคะ หนิงเองอาจจะไม่ใช่คนที่มีวินัยนัก แต่พอจะทราบเรื่องกฎคร่าว ๆ ของการออกกำลังกายว่า ควรออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง  หนิงก็พยายามปฏิบัติให้ได้ต่ำสุดแบบนั้น  แต่หากสามารถฝึกได้ 60-90 นาทีก็ทำ ฝึกได้มากกว่าอาทิตย์ละ 3 วันก็พยายามทำ เพียงแค่ตั้งเป้าหมายขั้นต่ำไว้เท่านั้นเอง
  • การสอนโยคะ เนื่องจากตัวเองเป็นคนง่าย ๆ ทำให้เราก็ก็สอนแบบไม่ได้เคร่งครัดหรือเคร่งเครียดนัก สอนให้นักเรียนฟังเสียงร่างกายตัวเอง ทำตัวเองให้มีความสุขทุกครั้งที่ฝึกให้ได้ เพื่อให้ตัวเขาอยู่กับโยคะได้ยั่งยืน หนิงเข้าใจนะคะ หากบางคนที่เป็นคนที่เข้าถึงโยคะ เป็นโยคีตัวจริง มาเจอหนิงสอนอาจจะอี้งไปก็ได้ คริคริ บอกแล้วไงค่ะว่า “ต่างคน ต่างคิด” หนิงคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า จากคนจำนวน 1,000 คน คงจะมีคนที่เข้ามาฝึกโยคะสัก 50 คน จาก 50 คน คงจะมีแค่ 1-2 คนเท่านั้นที่เป็นโยคีหรือโยคินีตัวจริง ดังนั้นหากเราทำให้คนรู้สึกไม่ชอบโยคะเพราะไม่ใช่โยคีหรือโยคินีนั้นก็คงน่าเสียดาย เพราะจริง ๆ แล้วโยคะช่วยคนได้เยอะมาก ๆ หากเราเคร่งเกินไปก็จะทำให้คนห่างหายจากโยคะ แต่ยังดีที่ ปัจจุบันโยคะถือว่าได้รับความนิยมมากขึ้น โอกาสที่จะทำให้โยคะถูกกลืนคงเป็นไปได้ยากเต็มที

สิ่งที่กล่าวไปทั้งหมดก็เป็นเรื่อง “ต่างคน ต่างคิด” นะคะ อาจจะโดนใจบางคนไม่โดนใจบางคน เรื่องวิถีโยคะ หรือการฝึกโยคะ ไม่มีอะไรผิดไม่มีอะไรถูก และอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทั้งความคิดรวมไปถึงการปฏิบัติ หากเราไม่ได้ยึดติด และหากเราทำความเข้าใจกับตัวเองเราก็จะเห็นความคิดตัวเองได้ไม่ยาก อิอิ